เปิดเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ คอนเทนต์ SEO ในมุมมองต่าง ๆ

เปิดเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ คอนเทนต์ SEO ในมุมมองต่าง ๆ

ในตอนนี้แบรนด์ใดก็ต่างนำ SEO ใช้เป็นจุดขายในการเรียกผู้คนเข้าในเว็บ ซึ่งเนื้อหามีความหลากหลาย แต่จะทราบได้อย่างไรว่าคอนเทนต์ประเภทนี้มีคุณภาพจริง ซึ่งไม่เพียงผู้อ่านหรือลูกค้าเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ทางอัลกอริทึมระบบคำนวณของ Google เองก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน ฉะนั้นกลุ่มคนที่กำลังจะสร้างคอนเทนต์เรียกลูกค้าอย่าพึ่งคิดว่าจะหลอก Google ได้ เพราะมีการดูจากปัจจัยเหล่านี้ 

  • คุณภาพของเนื้อหาสำคัญ หลายคนมักคิดว่าบทความหรือคอนเทนต์ควรมีคีย์เวิร์ดที่ยอดผู้ค้นหาเยอะ ๆ จนไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ สำหรับ SEO ที่มีคุณภาพคีย์เวิร์ดจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งทาง google นี่แหละจะดูว่ามีความใกล้เคียงกับคำที่ผู้ใช้งานได้ทำการค้นหามากน้อยแค่ไหน 
  • หน้าเว็บไซต์จะต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประมวลผลต้องไว
  • เนื้อหานอกจากจะต้องมีคุณภาพแล้ว จะต้องไม่นำข้อมูลจากแหล่งอื่นมาใส่ประกอบในเว็บ เพื่อนำเสนอ จะถือว่าเป็นการทำซ้ำ ส่งผลทำให้เว็บไซต์ถูกแบรนด์อีกด้วย

เหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยหลัก ๆ เท่านั้นที่ทาง google ใช้ประเมินเว็บไซต์ของคุณว่าสามารถใช้ SEO ในการนำเสนอเนื้อหาได้ดีแค่ไหน สุดท้ายเรื่องคุณภาพก็สำคัญไม่แพ้การโปรโมท หากทำได้ทั้งหมดตามที่เรากล่าวมาจะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

สิ่งที่บอกว่าคอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มคนใน Social Media

คอนเทนต์กับ Social Media มีความเชื่อมโยงกันในเรื่องของความสนใจ ผ่านการนำเสนอที่เข้าถึงกลุ่มผู้คนในวงกว้าง  ซึ่งก่อนจะนำเสนอคุณอาจจะต้องเข้าไปดูตัวอย่างของคอนเทนต์ โดยสังเกตจากองค์ประกอบดังนี้ 

  • Reach ตัวที่สามารถวัดคุณภาพของคอนเทนต์ได้ เพราะเป็นตัวที่บอกการเข้าถึงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการที่จะทำให้มีคนสนใจคอนเทนต์จะต้องมีคุณภาพ
  • Engagement เป็นอีกหนึ่งการชี้วัดว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีคุณภาพมากแค่ไหน ซึ่งไม่เพียงดูแค่ในเรื่องของยอดไลก์ ยอดแชร์เท่านั้น แต่คือการโต้ตอบในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งคนที่เข้ามาอ่านอาจต้องการดูการโต้ตอบที่มีต่อคอนเทนต์ เช่น การคอมเม้นท์ การพูดถึงและบอกต่อ  
  • Acquisition ตัวสุดท้ายที่ชี้วัดว่าคอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพจริง เพราะผู้ที่ได้เข้ามาอ่านหรือติดตามจะกลับมาซ้ำอีกครั้ง สังเกตได้จากการพูดคุย โต้ตอบกันและการเข้าถึงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง 

เหล่านี้คือปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถบอกได้ว่าคอนเทนต์ในรูปแบบ SEO ของคุณนั้นมีคุณภาพเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของเหล่าผู้ที่ติดตามได้มากน้อยแค่ไหน หากทำได้สิ่งที่ตามมาคือการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงการแชร์และพูดถึงในวงกว้าง สร้างความน่าเชื่อถือและนำไปสู่การเป็นที่รู้จัก

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและเว็บไซต์ คุณย่อมจะตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าชมเว็บไซต์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพราะนั่นคือหนทางที่คุณจะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งสินค้าและแนวคิดของธุรกิจของคุณให้กับลูกค้าได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าชมของลูกค้าโดยปราศจากการชี้นำจากกลไกของการโฆษณาทางการตลาด หรือที่เราเรียกว่าการเข้าชมแบบธรรมชาติ หรือการเข้าชมแบบออแกนิคนั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะคลิกเลือกผลการค้นหา 2-3 รายการแรกที่ปรากฏขึ้นบนเสิร์ชเอนจิ้น และไปยังเว็บไซต์ที่อยู่ลำดับรายการแรก ๆ เหล่านั้น ดังนั้นการที่เว็บไซต์ของคุณสามารถอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาในแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็จะนำไปสู่การเข้าชมที่มากขึ้น SEO หรือการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการค้นหาเว็บไซต์จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากสำหรับการตลาดในยุคเมตาเวิร์สเช่นในขณะนี้

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

SEO คืออะไร? การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) เป็นกระบวนการเพิ่มปริมาณการค้นเจอทั่วไปของเว็บไซต์ 

แล้ว SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นเจอได้อย่างไร? เริ่มแรกคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า SEO จะทำงานผ่านขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้คือ 

  • การวิจัยหาคำค้นหลัก
  • การวิเคราะห์คำค้นหลักที่ผู้คนใช้ในการค้นหาคอนเทนต์ที่พวกเขาสนใจ
  • การสร้างเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับคำค้นหลักที่กำหนดขึ้น
  • และ การเชื่อมโยงลิงค์เข้ากับคำค้นหลักที่กำหนดขึ้นเพื่อดึงผู้ชมให้เข้ามาสู่หน้าเว็บไซต์ของคุณ

และนอกจากนั้น เมื่อคุณได้คำค้นหลักแล้ว SEO ก็จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาโดยอาศัยคำค้นหลัก เพื่อนำพาผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณ ในลักษณะที่ไม่เพียงแต่บรรจุคำค้นหลักลงในบทความ แต่ยังเป็นการใส่คำค้นหลักภายในบทความในลักษณะเป็นธรรมชาติมากที่สุด ที่สำคัญ SEO ก็ยังมีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยวิเคราะห์และรายงานสถิติการเข้ารับชมจาก จึงทำให้คุณสามารถปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของคุณได้อย่างทันสมัยสอดคล้องลูกค้าของคุณอย่างลงตัว เพราะคุณมองเห็นเส้นทางการเข้าชมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน และคุณยังสามารถติดตามดูความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์คู่แข่งได้อีกด้วย หรืออาจจะเรียกได้ว่า โดยปกติแล้วสิร์ชเอนจิ้น จะค้นหาและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย AI โดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถดันอันดับเว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในอันดับต้น ๆ โดยการใช้ SEO เข้ามารบกวนการทำงานของ AI นั่นเอง

ตามการทําความเข้าใจวิธีใช้ SEO อย่างถ่องแท้ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย แต่การเรียนรู้วิธีการใช้ SEO บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ก็จะสามารถทําให้เว็บไซต์ของคุณได้เปรียบคู่แข่ง ทําให้เว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาเสิร์ชเอนจิ้น โดยเฉพาะในของ Google และเมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะพบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้น ช่างคุ้มค่ากับความพยายามในการเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO เชื่อเถอะว่า ไม่มีความพยายามครั้งไหนที่จะไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้า และความพยายามในการเรียนรู้ SEO ก็เช่นเดียวกัน

ทำ SEO ยังไงให้ปัง เพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

ทำ SEO ยังไงให้ปัง เพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

การทำ SEO ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านเนื่องด้วยสามารถพิสูจน์ให้ผลลัพธ์ได้ว่าการทำ SEO อย่างเหมาะสมสามารถที่จะช่วยให้เว็บไซต์ไปอยู่ในจุดที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการ ช่วยเพิ่มโอกาสในด้านธุรกิจ ได้เปรียบกว่าคู่แข่งและประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย หลายคนจึงหันมาเรียนรู้การทำ SEO มากขึ้นแทนการที่จะโปรโมทเว็บไซต์ผ่านโฆษณาอย่างเดียว โดยจะพาทุกคนไปพบกับวิธีการทำ SEO ที่นักธุรกิจควรต้องรู้ เพื่อการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

  • มีการปรับแต่งคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับเนื้อหา การกระจายตัวของคีย์เวิร์ดในเนื้อหาก็ควรที่จะมีความเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นในแต่ละย่อหน้าก็ควรที่จะมีคีย์เวิร์ดสอดแทรกอยู่แต่เน้นในเรื่องของความเป็นธรรมชาติ พูดง่าย ๆ ก็คือต้องไม่พยายามยัดเยียดคีย์เวิร์ดให้มากจนเกินพอดี เพราะจะทำให้เนื้อหานั้นดูไม่น่าสนใจ

  • มี Backlink ซึ่งก็คือการที่มีลิงก์ของเว็บไซต์ตนเองไปปรากฏอยู่ที่เว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อที่ว่าผู้คนที่มีความสนใจสามารถที่จะมีการคลิกกดเข้ามาแล้วลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ได้ ด้วยที่ว่าจะช่วยเพิ่มคะแนนในการจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าการค้นหาให้มากขึ้นตามไปด้วยสำหรับเว็บไซต์ไหนที่มีลิงก์ปรากฎอยู่ในหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ เปรียบเทียบก็เสมือนเป็นการโหวต และดูเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือนั่นเอง สิ่งสำคัญก็คือควรที่จะมี Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน

  • สร้างเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่มีความน่าสนใจ โดยให้ผู้คนสามารถเข้ารับชมเว็บไซต์นานขึ้นผ่านวิธีการดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่รูปภาพ วิดีโอ การเขียนเนื้อหาที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมได้หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเชิงโต้ตอบ ในส่วนของเนื้อหานั้นก็ควรที่จะต้องไปกันได้ดีกับคีย์เวิร์ดที่ผู้ชมกดพิมพ์ค้นหาเข้ามา ไม่ใช่เป็นคนละเรื่องหรือมีเนื้อหาที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้ผู้ชมไม่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นาน ๆ ก็จะออกไปเพื่อรับชมเว็บไซต์อื่น ๆ

  • อีกส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ปัญหาสำคัญแต่เป็นจุดที่ทำให้หลายเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสาระดีและเป็นประโยชน์มีผู้รับชมจำนวนไม่มากเท่าที่ควรก็คือ ความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์นั่นเอง เนื่องจากหลายคนเลือกที่จะกดผ่านเว็บไซต์ที่มีการดาวน์โหลดที่นาน เพราะต้องการความรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูล

แต่ละวิธีที่นำมาแชร์นั้นเป็นวิธีที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ต้องบอกว่าทุก ๆ วิธีนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำ SEO ใครที่อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างที่ตั้งใจ การทำ SEO ที่ถูกต้องคือคำตอบของคุณ

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

เชื่อว่านักการตลาดหลายคนทราบดีกว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา เช่น การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย การแสดงบน การเลือกคีย์เวิร์ด ที่ขาดไม่ได้คือการเขียนคอนเทนต์ เพราะคอนเทนต์หรือบทความมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้กลุ่มเป้าหมายพบเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่งเพื่อเพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากที่สุด

เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

1. คอนเทนต์ต้องมีคีย์เวิร์ด

เทคนิคเบื้องต้นสำหรับการเขียนคอนเทนต์รองรับ SEO คือทุกคอนเทนต์ที่อัปโหลดลงเว็บไซต์ต้องมีคีย์เวิร์ด โดยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น การเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีการค้นหามากที่สุดหรือเทรนด์การใช้คีย์เวิร์ดเป็นอย่างไร ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยม ได้แก่ Google Keyword Planner และ Google Ads เป็นต้น

2. แทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม

เมื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม เพราะตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ Search Engine เข้าใจว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สำหรับตำแหน่งที่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ด คือ ชื่อบทความ คำบรรยายบทความ หัวข้อ และที่ขาดไม่ได้คือชื่อรูปภาพ

3. กระจายคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วยแล้ว อีกตำแหน่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทคาม ที่สำคัญคือการกระจายคีย์เวิร์ดให้เป็นธรรมชาติ ไม่พยายามใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเกินไป โดยปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณข้อความ

4. คอนเทนต์คุณภาพ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย

หัวใจสำคัญของการเขียนคอนเทนต์ให้เป็นไปตามหลัก SEO คือการเขียนคอนเทนต์สดใหม่และอยู่ในความสนใจกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ที่ลงในเว็บไซต์จึงต้องเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ลอกเลียนแบบมาจากแหล่งอื่น เพราะหากระบบตรวจจับได้ เว็บไซต์อาจโดนแบนจนเสียโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา นอกจากนี้คอนเทนต์ต้องน่าสนใจ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเป็นเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องสำอาง บทความควรเกี่ยวข้องกับความสวยความงาม ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือคอนเท้นต์เกี่ยบวกับบอล บทความควรจะเป็นเรื่อง ผลบอล โปรแกรม สถิติการแข่งขัน เป็นต้น

เมื่อเขียนคอนเทนต์ตามหลัก SEO แล้ว เชื่อว่าเว็บไซต์คุณจะมีโอกาสก้าวสู่หน้าแรกการค้นหาง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าคอนเทนต์จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา แต่ถึงอย่างนั้นการทำ SEO จำเป็นต้องพึ่งองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ การทำ Backlink ความเร็วในการดาวน์โหลด ฯลฯ ที่สำคัญในฝั่งของท่านเจ้าของธุรกิจเองจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าและบริการร่วมด้วย เช่น การพัฒนาคุณภาพสินค้า การจัดรายการส่งเสริมการขาย ควบคู่ไปกับการทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

บอกต่อขั้นตอนการทำ SEO แบบเน้น ๆ สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่

บอกต่อขั้นตอนการทำ SEO

อย่างที่หลายคนทราบดีว่าการตลาดออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้ซื้อ การมีพื้นที่ในโลกออนไลน์ ที่ผู้คนมีโอกาสเห็นและผ่านตาเป็นการเพิ่มโอกาสในการเพิ่มยอดขาย เพิ่มกลุ่มลูกค้า โอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำและโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายผ่านการทำ SEO โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการทำโฆษณา สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่

วิธีการทำ SEO ให้ปังสร้างความสำเร็จให้ธุรกิจ

  • สร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยมีจำนวนคำของเนื้อหาโดยรวมที่มีความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ไม่ได้เน้นแต่คีย์เวิร์ด ในส่วนของคีย์เวิร์ดควรที่จะต้องตรงตามคำที่ค้นหาของผู้คนที่นำมาใช้ในการค้นหาจริง ๆ รวมทั้งเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาเองหรือมีการเรียบเรียงใหม่ให้เกิดความสดใหม่ ไม่เป็นเนื้อหาที่คัดลอกขึ้นมา เนื่องด้วยทาง google สามารถตรวจพบได้ถ้าหากเป็นการคัดลอกเนื้อหาจากแหล่งอื่นมาลงภายในเว็บไซต์ของตนเอง
  • มีการเพิ่มเติมเนื้อหาวิดีโอ รูปภาพในเว็บไซต์ประกอบกับเนื้อหาที่เขียนขึ้นมา โดยสามารถเพิ่มเติมโดยการใส่คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ในคำอธิบายใต้ภาพได้ มีการทำ internal link เพื่อเชื่อมโยงกับเนื้อหาต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้อง มากไปกว่านั้นในส่วนของโครงสร้างภายในเว็บไซต์อย่าง URL ของเว็บไซต์มีความสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่นำมาใช้หรือไม่ รูปแบบของเว็บไซต์สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้ดี ทำให้ผู้ที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือมีความสะดวกในการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้น และมีระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อช่วยป้องกันการเกิดการขโมยหรือโจรกรรมข้อมูลภายในเว็บไซต์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยโดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่มีการซื้อขายชำระเงินบนเว็บไซต์
  • สุดท้ายคือต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เป็นการทำหยุด ๆ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนสำหรับการทำ SEO Ranking อย่างน้อยต้องอาศัยระยะเวลาในการทำหลายเดือน ซึ่งในบางเว็บไซต์ก็อาจมีการใช้ระยะเวลาในการทำ 6 เดือนถึง  1 ปีเลยทีเดียวกว่าที่อันดับของเว็บไซต์จะไปติดอยู่ในลำดับหน้าการค้นหาที่คุณพึงพอใจได้ ด้วยลักษณะของการทำ SEO จะเป็นลักษณะของการทำลักษณะนี้จะเป็นการค่อย ๆ เติบโต ไม่ได้เป็นลักษณะของการก้าวกระโดดเหมือนกับการที่ลงทุนซื้อพื้นที่ในการโฆษณาเว็บไซต์

บอกแล้วว่าการทำ SEO นั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจ ขั้นตอนการทำ รายละเอียด เทคนิคสำหรับการทำเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจสามารถทำไปทำตามได้ ซึ่งถ้าหากต้องการทำ SEO อย่างมืออาชีพก็สามารถที่จะใช้บริการกับทางบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการทำ SEO เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์เนื้อหาและปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นไป

ทำ SEO อย่างไร ให้ติดหน้าแรกแบบไม่ต้องใช้เงิน

ทำ SEO อย่างไร ให้ติดหน้าแรกแบบไม่ต้องใช้เงิน

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปส่งผลให้กลยุทธ์การตลาดจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย และหนึ่งในเทรนด์การตลาดที่มาแรงสุด ๆ ในยุคนี้ ต้องยกให้กับการทำ SEO หรือการทำ Search Engine Optimization เพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา ซึ่งหากทำได้แน่นอนว่าส่งผลดีต่อธุรกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยสร้างการจดจำ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มผลประกอบการ นั่นทำให้ธุรกิจเล็กและใหญ่ทุ่มเงินทำ SEO จำนวนมาก แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วการทำ SEO อาจไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณหรือไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากเสมอไป หากทราบเทคนิคสำคัญในการทำ SEO

ทำ SEO อย่างไร ให้ติดหน้าแรกแบบไม่ต้องใช้เงิน

– ติดตั้งเครื่องมือการทำ SEO

ขั้นตอนแรกของการทำ SEO พื้นฐานรวมถึงการเริ่มทำ SEO ด้วยตนเอง เพราะการติดตั้งเครื่องมือจะช่วยให้ทำ SEO ง่ายขึ้น เนื่องจากเครื่องมือต่าง ๆ มาพร้อมฟังก์ชันที่จะทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ให้คะแนน สำหรับเครื่องมือฟรีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Google Analytics Debugger, SEO Minion, Similar Web เป็นต้น

– ออกแบบเว็บไซต์ใช้งานง่าย

ประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหาได้เร็วขึ้น ซึ่ง Search Engine จะพิจารณาพฤติกรรมการใช้งานของผู้ที่กดเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หากมีการใช้งานต่อเนื่อง ไม่กดออกจากเว็บไซต์ภายในเวลารวดเร็ว หรือกดเข้ามาเยี่ยมชมบ่อย ๆ จะสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีต่อเว็บไซต์นั้น ๆ ส่งผลให้คะแนนเพิ่มขึ้นและมีโอกาสติดหน้าแรกได้เร็วขึ้นเช่นกัน

– คีย์เวิร์ดตรงกลุ่มเป้าหมาย

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดอย่างแม่นยำมีส่วนมากที่จะทำให้เจอกลุ่มเป้าหมายได้เร็วขึ้น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญ แนะนำให้ใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner, Google Trends และ Ahrefs ที่จะทำให้การเลือกคีย์เวิร์ดมีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

– ออกแบบเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

การทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหาจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การผลิตคอนเทนต์สดใหม่ ไม่ลอกเลียนแบบ การแสดงผลอย่างพอดีบนสมาร์ตโฟน (Mobile Friendly) ความเร็วในการดาวน์โหลดเข้าใช้งานเว็บไซต์ รวมถึงการทำ Backlink เชื่อมโยงไปยังหัวข้ออื่น ๆ ที่สำคัญเมื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นไปตามเกณฑ์ให้คะแนนแล้ว อย่าลืมตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์เสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ยังใช้งานง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน และคงไว้ซึ่งอันดับดี ๆ ของการค้นหา

และทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องใช้งบประมาณหรือใช้งบประมาณไม่ต้องมาก แม้การทำ SEO จะได้รับความนิยมและส่งผลดีต่อธุรกิจมากเพียงใด แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เจ้าของธุรกิจควรทำ SEO ควบคู่กับการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบอื่น เช่น การซื้อโฆษณาบนเว็บไซต์ การทำคอนเทนต์ผ่านช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น

การทำ SEO มีกี่ประเภท เลือกอย่างไรให้ดีกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

การทำ SEO มีกี่ประเภท เลือกอย่างไรให้ดีกับธุรกิจของคุณ

การสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักเว็บ สิ่งสำคัญคือการมีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมมาก ๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์สำหรับธุรกิจต่าง ๆ การมีผู้คนเข้าชมมาก ๆ ย่อมแสดงถึงแนวโน้มว่าธุรกิจนั้นจะขายสินค้าหรือบริการได้มากหรือไม่ เพราะเมื่อเว็บไซต์เป็นที่รู้จัก มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือค้นหาเว็บของเราบ่อย ๆ โอกาสที่ดีทางธุรกิจก็ย่อมตามมา ซึ่งวิธีการที่ทำให้ผู้คนค้นพบเว็บของเราได้ง่ายและประหยัดที่สุดนั่นก็คือ การทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการที่ใช้เพื่อเรียกยอดผู้เข้าชม (Traffic) จากผลการค้นหาที่ฟรีและเป็นธรรมชาติ ผ่านเครื่องมือการค้นหาอย่าง Search Engine เป็นเทคนิคที่ใช้ปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ของเนื้อหาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การพิจารณาเพื่อจัดอันดับผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็น Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูง

เทคนิคการทำ SEO

เป้าหมายหลักของการทำ SEO คือการทำให้แน่ใจว่าได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือให้สามารถรวบรวมข้อมูล และจัดทำดัชนีเว็บไซต์ได้โดยไม่ติดปัญหาใด ๆ

เทคนิคที่สำคัญสำหรับการทำ SEO คือการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพ bots ผู้ช่วยอัจฉริยะ ของ Google เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณจะถูกค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประโยชน์อื่น ๆ ดังนี้

เพิ่มและสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ด้วย Google Search Console และสามารถระบุโดเมนที่ต้องการได้

ทำรายงานครอบคลุมผลการค้นหา และแก้ไขข้อผิดพลาดที่ใช้รวบรวมข้อมูล

การสร้างแผนผังไซต์ XMLก่อนส่งไปยังเครื่องมือค้นหาที่จำเป็นทั้งหมด

การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ และโครงสร้าง URL ให้เหมาะสม

การออกแบบเว็บไซต์ให้มีลักษณะ SEO Friendly

การสร้างเว็บไซต์ที่โหลดได้เร็วทั้งบนเดสก์ท็อป และอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ

ประเภทของ SEO และลักษณะการทำงาน

ในปัจจุบันประเภทของ SEO มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ

1. ประเภท ON-PAGE SEO คือการปรับแต่ง ปรับปรุง และจัดการเว็บไซต์ให้มีคุณสมบัติตรงกับที่ Google ต้องการ ช่วยให้ Google นำข้อมูลของหน้าเว็บไปเก็บรวบรวมพร้อมประมวลผล ให้ได้ผลการค้นหาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด และเป็น SEO ที่สามารถจัดการได้ดีที่สุด เพราะการจัดการทุกองค์ประกอบในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลา

2. ประเภท OFF-PAGE SEO คือการจัดการปัจจัยภายนอกของเว็บไซต์ เพื่อจัดการตำแหน่งการค้นหาของหน้าเว็บให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่นการนำลิงก์จากภายนอกมาเชื่อมต่อกับเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Backlink และยังมีปัจจัยอื่น ๆ ประกอบอีกมากมาย

3. ประเภท TECHNICAL SEO มีลักษณะคล้ายคลึงกับ On-Page SEO แต่ TECHNICAL SEO จะนำเทคนิค และวิธีการต่าง ๆ มาใช้สร้างเว็บไซต์ แต่ไม่รวมถึงการจัดการเนื้อหาในหน้าเว็บ เป็นการจัดการเพื่อให้ Google สามารถมองโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่ายมากขึ้น และส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

การรู้จักประเภทของ SEO จะช่วยให้ผู้สร้างเว็บไซต์สามารถปรับแต่งการทำหน้าเว็บได้ตรงตามความสามารถในการค้นหาของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนำผลการค้นหาไปต่อยอดเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป

ความสำคัญของการทำ SEO ต่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์

ความสำคัญของการทำ SEO ต่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์

หากเราจะลองมาจัดอันดับขนาดของตลาดและการทำธุรกิจยุคใหม่ คงไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการทำธุรกิจออนไลน์แล้ว ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนพฤติกรรรมของลูกค้าที่ทำให้แทบจะทุกธุรกิจต้องหันมาทำการตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก และแน่นอนว่าการที่จะเอาชนะคู่แข่งในการทำธุรกิจออนไลน์ได้ เจ้าของกิจการจะต้องมีความเข้าใจถึงหนึ่งอาวุธสำคัญที่มีชื่อว่า SEO

สร้างการเป็นที่รู้จักของแบรนด์ในวงกว้าง

การทำ SEO ของธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะในสื่อไหน ๆ จะช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจได้เป็นที่รู้จัก ผ่านการค้นหาด้วย Search Engine ยอดนิยม โดยเฉพาะ Google ผลก็คือการสร้าง Brand Awareness ของธุรกิจ ทำให้ชื่อของเราติดตลาดและมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าการสร้าง Awareness นี้จะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าของธุรรกิจให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือยอดขายและผลกำไรจากการตลาดที่มีประสิทธิภาพผ่านการเลือกใช้ SEO

เพิ่มคนเข้าชมเว็บไซต์ได้จริงแบบยั่งยืน

ถ้าอยากเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจในตลาดออนไลน์ให้ได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือการทำให้ลูกค้าเข้ามาเจอหน้าเว็บไซต์ของเราให้ได้ก่อนที่ลูกค้าจะหลุดมือไปหาหน้าเว็บไซต์ของคู่แข่ง และวิธีการที่ดีที่สุดคือการทำ SEO ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดการเข้าชมหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจได้จริง และเป็นการทำแล้วใช้ได้ยาว แน่นอนและยั่งยืนกว่าการยิงโฆษณาที่มีผลแค่ช่วงเวลาเดียว และการทำ SEO ยังช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจกับลูกค้าในความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกว่าการนำเสนอโปรโมชันที่จำกัดช่วงเวลาอีกด้วย

ใช้งบน้อยธุรกิจคล่องตัวกว่า

อย่างที่รู้กันดีว่าการยิงโฆษณาหรือการโปรโมทสินค้าและบริการผ่านสื่อต่าง ๆ นั้นเป็นการทำตลาดที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ต่อให้เป็นการลงทุนในสื่อออนไลน์ก็ตาม ผลคือธุรกิจจะต้องลงทุนหนักและใช้ทุนเยอะซึ่งผลที่ได้ไม่คุ้มค่า แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้การทำ SEO จะช่วยให้ธุรกิจสามารถที่จะลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยกว่า แถมคอนเทนต์ที่ทำยังอยู่ติดหน้าเว็บไซต์แบบถาวร ใช้งานได้นาน เห็นผล ที่สำคัญคือประหยัด ทำให้ธุรกิจมีทุนเหลือไปต่อยอดอย่างอื่นได้อีก

เพราะความเข้าใจถึงหลักในการทำ SEO ว่ามีความสำคัญต่อการทำธุรกิจออนไลน์อย่างไร จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะเดินหมากเกมธุรกิจและวางกลยุทธ์ในการทำแผนการตลาดได้อย่างถูกต้อง ลงตัว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเมื่อการตลาดดีธุรกิจออนไลน์ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงตามไปด้วย

ปรับคอนเทนต์ให้โดนใจ search intent keywords

search intent keywords

เครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine อย่าง Google, Bing หรือ Social media ต่าง ๆ ซึ่งการทำคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้แต่เราจะรู้ได้ยออย่างไรว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังมองหาอะไรอยู่ ?

search intent keywords คือ วัตถุประสงค์ในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง Google ให้ความสำคัญมากขึ้นเพื่อพัฒนาการนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุด โดย Google ได้แบ่งประเภทของ search intent keywords ออกเป็น 4 ประเภท คือ

  1. การค้นหาข้อมูล (Informational intent) สำหรับการค้นหาประเภทนี้เป็นการค้นหาเพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ โดยมักจะใช้คำค้นหาที่ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น เช่น วิธี, เทคนิค, คืออะไร หรือสำคัญอย่างไร เป็นต้น
  2. การค้นหาแบบเฉพาะเจาะจง (Navigational intent) เมื่อได้รับข้อมูลทั่วไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้งานมักจะเริ่มกระบวนการค้นหาเว็บไซต์ บล็อก หรือเพจที่มีผู้ใช้งานให้ความไว้ใจ หรือเชื่อใจเพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งการค้นหาลักษณะนี้โดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ใช้งานมักจะใช้ชื่อแบรนด์สินค้า หรือบริการต่อท้ายสินค้า/บริการที่กำลังให้ความสนใจ หรือค้นหาด้วยชื่อแบรนด์โดยตรง
  3. การค้นหาเพื่อตัดสินใจ (Commercial investigation) การค้นหาประเภทนี้เป็นการค้นหาข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจ โดยการค้นหาลักษณะนี้จะเป็นไปในเชิงเปรียบเทียบข้อดี – ข้อเสีย ความคุ้มค่า
  4. การค้นหาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ (Transactional intent) เมื่อผู้ใช้งานทำการค้นคว้าข้อมูลที่ต้องการครบถ้วนแล้ว การค้นหาลักษณะนี้จะเป็นการค้นหาสุดท้ายเพื่อสั่งซื้อสินค้า หรือบริการที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อว่าเกิดความคุ้มค่า หรือเกิดประโยชน์มากที่สุด โดยลักษณะคำที่ใช้ในการค้นหาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น ซื้อXXX, โปรโมชั่นXXX, ส่วนลด หรือคูปองส่วนลด เป็นต้น

เทคนิคค้นหา search intent keywords

เทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการค้นหาสินค้า/บริการ ของกลุ่มเป้าหมายสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการนำคำค้นหา (Keyword) ที่ได้มาทดลองค้นหาใน Search Engine หรือ Social media ที่จะทำคอนเทนต์เพื่อดูลักษณะของการแสดงผลของ Search Engine หรือ Social media และนำมาปรับใช้กับคอนเทนต์ของตัวเอง

ตัวอย่าง: ใช้คำ “search intent keywords” ค้นหาใน Google จะพบว่าลักษณะคอนเทนต์ที่ Google แสดงผลออกมาจะเป็นเชิงให้ความรู้มากกว่าการขายสินค้าหรือบริการ โดยมีทั้งแบบบทความและแบบคลิปวิดีโอ แต่หากเปลี่ยนคำค้นหาเป็น “ผ้าขัดตัว” ใน Google จะพบกับคอนเทนต์ขายสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ e-Commerce เป็นต้น

จากนั้นนำลักษณะคอนเทนต์ที่ Search Engine หรือ Social media แสดงผลมาใช้กับคอนเทนต์ของตัวเองแต่ที่สำคัญ คือ ต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมที่สุด

สรุป การปรับคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายด้วย search intent keywords คือ การนำ Keyword ที่ต้องการทำคอนเทนต์ไปค้นหาใน Search Engine หรือ Social media และดูลักษณะ รูปแบบคอนเทนต์ในหน้าแรก จากนั้นนำมาใช้กับคอนเทนต์ของตัวเองและทำคอนเทนต์ให้มีเนื้อหาที่ครบถ้วนมากที่สุดนั้นเอง

วิธีการทำ SEO ให้ค้นเจอง่ายในช่องค้นหาเฟซบุ๊ก

วิธีการทำ SEO ให้ค้นเจอง่ายในช่องค้นหาเฟซบุ๊ก

คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีใน Google ทำให้ลูกค้าพบเจอเว็บไซต์ได้ง่าย แต่ความจริงแล้วการทำ SEO ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ลูกค้าค้นเจอเพจของร้านค้าออนไลน์ในช่องค้นหาเฟสบุ๊กได้ง่ายเช่นกัน หมดปัญหาเรื่องไลฟ์แล้วไม่มีผู้ชมเพราะเพจเฟซบุ๊กยังใหม่ ยังมีคนรู้จักไม่มากนัก

สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีเงินทุนน้อย ไม่มีงบประมาณสำหรับการในช่องค้นหาเฟสบุ๊ก สามารถนำวิธีการทำ Facebook SEO ไปใช้ประโยชน์ทำให้ลูกค้าพิมพ์หาสินค้าเจอเพจของร้านได้ง่ายขึ้น เพราะเพจจะขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ มีโอกาสได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นโดยไม่ลงทุนจ่ายค่าโฆษณาเลย มาดูกันว่ามีวิธีการอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนแรกคือการตั้งชื่อเพจเฟซบุ๊กให้อ่านง่าย สั้นกระชับ และตรงกับสินค้าที่สุด ถ้าลูกค้าใช้คำค้นหาว่า “รองเท้ากีฬามือสอง” การตั้งชื่อเพจของร้านต้องระบุชัดเจนทำให้ลูกค้ารู้ว่าขายรองเท้ากีฬามือสอง แต่อย่าตั้งชื่อยาวมากเกินไป ข้อสำคัญในชื่อควรมีคีย์เวิร์ดสำคัญด้วย เช่น “ร้านรองเท้ากีฬามือสอง ราคาถูก” แสดงชื่อสินค้าและบอกเฉพาะเจาะจงไปเลยว่าราคาถูก ซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมายพอดี ทำให้ลูกค้าค้นเจอเพจร้านค้าง่ายขึ้น สำหรับคนที่มีชื่อเพจของตัวเองอยู่แล้ว สามารถยื่นเรื่องขอเปลี่ยนชื่อเพจกับเฟซบุ๊กได้

ขั้นต่อไปเป็นการตั้งชื่อ URL หรือ USERNAME บนเฟซบุ๊ก แนะนำให้ใช้ชื่อที่สั้น กระชับ โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าใช้เป็นคำค้นหาทั้งในเฟซบุ๊กและใน Google นอกจากจะระบุ “รองเท้ากีฬามือสอง” แล้ว ยังเลือกใช้ชื่อแบรนด์หรือชื่อร้านได้ด้วย

ในเฟซบุ๊กจะมีหน้าของข้อมูลเกี่ยวกับเพจและข้อมูลรายละเอียดของสินค้า ควรอธิบายข้อมูลที่กระชับและตรงประเด็นที่สุด โดยมีตัวอักษรจำกัดไม่เกิน 150 ตัวอักษร ควรใส่คีย์เวิร์ดลงไปในเนื้อหา เพื่อให้ลูกค้าค้นหาง่ายขึ้น อย่าลืมใส่ชื่อเว็บไซต์ (ถ้ามี) เพราะการมีเว็บไซต์แสดงให้เห็นว่าร้านค้ามีความน่าเชื่อถือและลูกค้ารู้สึกไว้วางใจร้านมากขึ้น มีข้อมูลที่อยู่และเบอร์โทร รวมถึงใส่ไอดี LINE สำหรับติดต่อร้านด้วย

การใส่คีย์เวิร์ดเป็นหัวใจสำคัญของวิธีการทำ Facebook SEO ไม่ต่างจากการทำคอนเทนท์ในเว็บไซต์ เพจของร้านควรอัปเดทโพสต์สม่ำเสมอ และใส่คีย์เวิร์ดคำค้นหายอดนิยมลงในโพสต์ อีกเคล็ดลับหนึ่งคือการติดแฮชแท็กในโพสต์ เช่น ชื่อร้าน ชื่อสินค้า และคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหา ทำให้กลไกการจัดอันดับของเฟซบุ๊กพบกับเพจของร้านง่ายขึ้น มีโอกาสติดอันดับทำให้ลูกค้าค้นเจอเพจของร้านง่ายขึ้นด้วย

สรุปแล้ว วิธีการทำ Facebook SEO ไม่ต่างจากในเว็บไซต์ มีข้อแตกต่างปลีกย่อยบ้าง เช่น โพสต์ในเฟสบุ๊กมีความกระชับมากกว่าเนื้อหาบทความในเว็บไซต์ เพจร้านค้าสามารถสร้างลิงก์ระหว่างเฟซบุ๊กกับบทความในเว็บไซต์ได้ เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปอ่านข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้นในเว็บไซต์ ทั้งยังเป็นการเพิ่ม Traffic ให้ลูกค้าทั้งสองช่องทางได้ค้นพบร้านค้าง่ายยิ่งขึ้น เป็นวิธีโปรโมทเพจแบบไม่เสียเงินที่ร้านค้าออนไลน์มือใหม่ไม่ควรมองข้าม